Tuesday 7 May 2013

[One-Shot] เหนือท้องนภา

.
.
.
.
ณ ห้วงเวลาหนึ่งซึ่งไม่ใช่ห้วงเวลาแห่งความว่างเปล่า มีสิ่งมีชีวิตอันทรงปัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะแปลกประหลาดจากสิ่งมีชีวิตอื่นในห้วงเวลาเดียวกัน พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปีกขนาดใหญ่อยู่กลางแผ่นหลัง ขนาดของปีกยาวเท่ากับความยาวลำตัว ปกคลุมด้วยขนสีขาวรูปร่างเหมือนใบไม้ เฉกเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าวิหคในโลกของพวกเรา พวกที่อาศัยอยู่ในห้วงเวลาเดียวกันเรียกสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ว่า ชนเผ่าอาไดน์

ชนเผ่าอาไดน์อาศัยอยู่ในอาณาจักรที่เรียกขานกันมายาวนานว่าอาเวียร์ บนดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่าไฮน์ ดาวเคราะห์ดวงนี้มีลักษณะประหลาดบางประการ ซึ่งพวกที่อาศัยอยู่ในดาวเคราะห์แห่งนี้ต่างไม่เคยตระหนักถึงมัน จนกระทั่งชนเผ่าอาไดน์ได้ค้นพบความลับดังกล่าว ทว่านี่เป็นเรื่องราวซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง

ทวีปที่ชนเผ่าอาไดน์อาศัยอยู่มีชื่อว่าเทียร์ ในเทียร์นั้นมีชนเผ่าอาศัยอยู่ด้วยกันหลายเผ่า พวกเขาแม้จะแตกต่างไปในแต่ละชนเผ่า แต่ก็เห็นพ้องต้องกันว่าพวกมีปีกนั้นประหลาดที่สุดในหมู่พวกเขา และต่างก็เรียกชนเผ่าอาไดน์ว่า พวกมีปีก จะเติมคำ 'แสนประหลาด' ต่อท้ายพวกเขาก็สุดแล้วแต่คน

เพราะขณะที่ชนเผ่าอื่นๆ ต่างอาศัยอยู่บนแผ่นดิน ทุ่งหญ้า ป่าใหญ่ หุบเขา หรือหมู่เกาะ ชนเผ่าอาไดน์นั้นอาศัยอยู่บนก้อนเมฆ มีสภากลางของเผ่าอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของเทียร์ และมักจะชอบบินผาดโผนอยู่บนท้องฟ้า โฉบไปมาทั่วทวีปด้วยความเร็วสูง จนบางครั้งก็ทำให้ท้องฟ้าพาดไปด้วเส้นสีต่างๆ ตัดสลับกันไปมา

กระนั้น ในชนเผ่าอาไดน์ ก็มีคนประหลาดอยู่ในหมู่คนประหลาดที่ชนเผ่าอื่นขนานนามให้

พวกเขาเหล่านั้นเห็นว่าท้องฟ้านั้นไร้ขอบเขต ดังนั้น เมื่อบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ จะต้องพบกับอะไรบางอย่างที่แตกต่าง อะไรบางอย่างที่ไม่ได้เป็นสีฟ้าในตอนกลางวัน ไม่ได้เป็นแถบสีส้มแดงสลับกันในยามโพล้เพล้ และไม่ได้เป็นสีดำเข้มดั่งหมึกในเวลากลางคืน บางทีอะไรบางอย่างที่ว่านั่นอาจอยู่ไกลเกินจะมองเห็น และถูกกั้นไว้ด้วยท้องฟ้าก็เป็นได้

เมื่อความคิด จินตนาการ ความเพ้อฝันเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นก็เริ่มทดลอง ดำเนินการตามล่าหาฝันของพวกเขาทันที

ผู้มีปีกแสนประหลาดเหล่านั้นต่างพากันกระพือปีกบินขึ้นไป สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเมฆแต่ละก้อน จนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีดำ และเปลี่ยนกลับมาเป็นสีฟ้าอีกครั้ง พวกเขาก็ยังบินต่อไป หลายคนเหนื่อยล้า ท้อแท้ และล้มเลิก ก็ยังมีคนอื่นที่ยังพยายามต่อไปโดยไม่ท้อถอย

สุดท้าย ผู้กล้าเหล่านั้นล้วนแต่เสียชีวิตทั้งหมด จากอาการเหนื่อยล้าที่บินต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน และจากความหิวโหยหลังจากไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันติดต่อกัน

เรื่องผู้กล้าเหล่านั้น หรือที่พวกผู้ใหญ่ในอีกยุคสมัยหนึ่งเรียกว่าคนเขลา ต่างถูกเล่าขานอย่างแพร่หลาย กลายเป็นนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กๆ ในยุคถัดมา

กระนั้น ในยุคถัดมา ก็ยังมีเด็กๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ด้วยความเชื่อดั้งเดิมของเหล่าคนเขลาในนิทาน

เด็กประหลาดกลุ่มนี้เห็นว่าบรรพบุรุษผู้สุดแสนจะประหลาดของพวกเขาไม่ได้โง่เขลา ทว่ามิได้มองการณ์ไกลเท่าพวกเขา คนประหลาดในอดีตที่พากันบินขึ้นฟ้าล้มเหลวเพราะความผิดพลาดเท่านั้น

พวกเขาเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้ฝึกร่างกายให้แข็งแรงเพียงพอ และไม่ได้เตรียมเสบียงอาหารเอาไว้ จึงพากันอดตายอยู่กลางท้องฟ้าเสียก่อน

ด้วยเหตุนี้เอง เด็กประหลาดในรุ่นนั้นจึงพากันฝึกบิน ฝึกร่างกายให้แข็งแรงอยู่ทุกวัน พวกเขารับประทานอาหารอย่างประหยัด เก็บหอมรอมริบเอาอาหารที่เหลือไปถนอมไว้ เตรียมไว้สำหรับวันข้างหน้า วันที่พวกเขาจะบินขึ้นไปตามความฝัน 

นอกจากนี้พวกเขายังบินไปที่อาณาจักรอื่น ไปหาพ่อมดดำที่อาศัยอยู่ในหอคอยกลับหัวกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ เพื่อขอกระเป๋าวิเศษ ซึ่งมีความจุไม่จำกัดจากพ่อมด และนำมาใส่เสบียงอาหารเพื่อมิให้น้ำหนักของเสบียงมาถ่วงความเร็วในการบินของพวกเขา

ผู้มีปีกแสนประหลาดกลุ่มที่สองต่างพากันกระพือปีกบินขึ้นไป สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเมฆแต่ละก้อน จนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีดำ พวกเขาก็หยุดพัก ทานอาหาร นอนพักผ่อนบนก้อนเมฆ เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนกลับมาเป็นสีฟ้าอีกครั้ง พวกเขาจึงค่อยออกบินต่อ 

ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาก็ก้าวผ่านมาถึงอีกส่วนหนึ่งของท้องฟ้า และพบกับความตาย

มีอยู่เพียงคนเดียวที่รอดพ้นจากหายนะ เขาอายุน้อยที่สุด สมาชิกคนอื่นในกลุ่มคนประหลาดช่วยปกป้องเขาจากความตาย กระนั้น เขาก็กลับลงมาข้างล่างด้วยอาการบาดเจ็บร่อแร่ปางตาย และจบลงด้วยความพิการ ไม่สามารถบินขึ้นฟ้าได้อีกต่อไป

กระนั้น ผู้กล้าผู้โง่เขลาคนนี้ ก็กลับมาพร้อมกับเรื่องเล่าสุดมหัศจรรย์พันลึก ที่จะเลื่องลือไปทั่วในยุคสมัยต่อมา

เขาเล่าว่าเมื่อเลยผืนฟ้าสีครามขึ้นไป จะพบกับก้อนเมฆสีเทาทะมึนน่าขนลุก เมื่อผ่านก้อนเมฆเหล่านั้นไป พวกเขาก็พบกับลมกรรโชกแรงจนปีกแทบหัก ขนนกแทบจะหลุดปลิวออกจากปีก จากนั้นจึงมีเสียงคำรามกึกก้องราวกับเสียงอสูรกาย และแสงสว่างจ้าสีทอง ซึ่งหากแสงเหล่านั้นสัมผัสถูกอะไร สิ่งนั้นก็จะลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน

ชนเผ่าอาไดน์ไม่เคยได้ยินเรื่องประหลาดเหล่านี้มาก่อน อันที่จริง พวกเขาเชื่อว่าเป็นเพียงความละเมอเพ้อพกของคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งทางร่างกายและจิตใจจนเสียสติ แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องเล่าของอาไดน์เสียสติสุดประหลาด ก็แพร่หลายออกไป

เด็กประหลาดในรุ่นต่อมาจึงคิดสานต่อเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษผู้ประหลาดของพวกเขา พวกเขากระทำเลียนแบบบรรพบุรุษของพวกเขาทุกประการ ฝึกร่างกายให้แข็งแรงทุกวัน ตระเตรียมเสบียงอาหารให้พร้อมสำหรับวันนั้น แต่เมื่อถึงคราวไปหาพ่อมดดำแห่งหอคอยกลับหัวกลางทะเลทราย (ซึ่งเป็นหลานชายของพ่อมดดำคนเดิม) พวกเขาก็ทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป

ชนเผ่าพ่อมดเป็นชนเผ่าที่มีความรู้มาก เด็กๆ ประหลาดจึงขอให้พ่อมดอธิบายในสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ เกี่ยวกับดินแดนประหลาดอันเต็มไปด้วยแสงประหลาด และเสียงคำราม ที่บรรพบุรุษของพวกเขาค้นพบ

"พวกคนมีปีกผู้แสนประหลาดเอ๋ย พวกเจ้าอยู่บนท้องฟ้า อยู่เหนือก้อนเมฆ จึงไม่เคยรู้จักอัสนีบาตและพายุ นี่คือคำเรียกขานสิ่งประหลาดในดินแดนประหลาดแห่งนั้น หากให้ข้าเดา ข้าคิดว่าบรรพบุรุษของพวกเจ้าคนนั้นคงถูกทำร้ายโดยสายฟ้าเป็นแน่ พวกเขาจึงไม่อาจไปถึงฝั่งฝันได้" พ่อมดเคราสั้นอธิบาย

"แล้วมีวิธีจัดการกับอัสนีบาตและพายุบ้างไหมท่าน" คนมีปีกถาม

พ่อมดจึงให้ความรู้แก่พวกเขา บอกว่าน้ำมันจากเปลือกต้นกูมาในหมู่เกาะทิศตะวันออก หากนำมาชโลมทั่วตัว จะป้องกันสภาพอากาศอันเลวร้ายได้ชะงัด พวกเด็กประหลาดมีปีกจึงกล่าวขอบคุณพ่อมด และบินไปยังหมู่เกาะทิศตะวันออกทันที ชาวหมู่เกาะตะวันออก แม้จะประหลาดใจกับคำขอของพวกมีปีก แต่ก็ยินยอมกำนัลน้ำมันจากเปลือกต้นกูมาให้พวกเขาอย่างเป็นมิตร 

ในที่สุด เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม ก็ถึงเวลาเดินทางออกเดินทาง

ผู้มีปีกแสนประหลาดกลุ่มที่สามต่างพากันกระพือปีกบินขึ้นไป สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเมฆแต่ละก้อน จนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีดำ พวกเขาก็หยุดพัก ทานอาหาร นอนพักผ่อนบนก้อนเมฆ เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนกลับมาเป็นสีฟ้าอีกครั้ง พวกเขาจึงค่อยออกบินต่อ

ทำเช่นนี้ เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของพวกเขา จนกระทั่งเห็นก้อนเมฆสีเทาทะมึน พวกเขาก็หยิบน้ำมันจากเปลือกต้นกูมามาทาทั่วร่างกาย และบินฝ่าเข้าไปในหมู่เมฆน่ากลัว

สายลมรุนแรงพัดกระหน่ำ นอกจากนี้ยังมีสายฝนอันหนาวเหน็บฟุ้งกระจายในอาณาจักรเมฆสีเทา พร้อมด้วยอัสนีบาตคำรามกึกก้อง ปล่อยแสงทองออกมา ด้วยอานุภาพของน้ำมันจากเปลืิอกต้นกูมา อุปสรรคเหล่านั้นจึงไม่สามารถทำอันตรายแก่พวกเขาได้ พวกเขาบินขึ้นไปเรื่อยๆ สูงขึ้นอีก สูงขึ้นอีก จนกระทั่งผ่านหมู่เมฆสีเทาไป

แล้วผู้มีปีกก็ค้นพบ พวกเขากลับมาอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามอีกครั้งหนึ่ง

ทว่าท้องฟ้าสีครามเหมือนกับในอาณาจักรอาเวียร์ กลับมีอะไรบางอย่างที่ดูแปลกตาออกไป มีแผ่นแข็งสีน้ำตาลอยู่เหนือท้องฟ้า แผ่กว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา ราวกับกำแพงใหญ่กางกั้นไม่ให้พวกเขาฝ่าผ่านออกไปได้ เมื่อลองสัมผัสกับแผ่นสีน้ำตาลดู พวกเขาก็พบว่ามันคือดินที่ถูกอัดรวมกันจนแข็งเป็นก้อน

ผู้มีปีกอันแสนประหลาดนั้นมีความพยายามสูงยิ่งกว่าคนทั่วไป พวกเขาพยายามทลายกำแพงดินที่แผ่กั้นเส้นทางข้างหน้า โดยพยายามขุดเอาดินแต่ละก้อนออกมา ทว่ากำแพงดินนั้นหนามาก จนในที่สุด เสบียงอาหารก็ร่อยหรอลง คนประหลาดกลุ่มนั้นเหลือเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิด จึงแบ่งเสบียงอาหารรวมถึงน้ำมันจากต้นกูมาให้คนที่อายุน้อยที่สุด และบอกแก่คนนั้นให้กลับไปยังเผ่า เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้พบให้แก่ทุกคน

"พวกเรามายืนอยู่ตรงนี้เพราะเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษผู้แปลกประหลาดของพวกเรา ตอนนี้พวกเราเจอทางตัน หาทางไปต่อไม่ได้ แต่คนรุ่นหลังจะต้องสานต่อเจตนารมณ์ของพวกเราได้สำเร็จอย่างแน่นอน" คนเป็นหัวหน้า คนที่อาวุโสที่สุดบอกกับคนที่อายุน้อยที่สุด

ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจึงได้กลับมายังอาณาจักรอาเวียร์ เขาพยายามเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนอื่นฟัง แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดเชื่อ ดังนั้นเขาจึงบันทึกเรื่องราวที่ได้พบลงในสมุดเล่มหนึ่ง และบินไปยังทะเลทราย ไปหาพ่อมดดำ

พ่อมดดำรับฟังเรื่องราวทั้งหมด และรับสมุดบันทึกเรื่องราวของผู้มีปีกแสนประหลาดคนนั้นไว้ จากนั้นชายผู้มีปีกคนนั้นก็เสียชีวิตลง ด้วยความเหนื่อยล้าสุดขีดจากการเดินทางที่ผ่านมา

เรื่องราวของชาวอาไดน์ผู้แปลกประหลาดยังคงเล่าขาน ถึงชนเผ่าอาไดน์รุ่นถัดไป...

และรุ่นถัดไปก็มีลูกหลานผู้มีปีก ซึ่งคิดสืบทอดเจตนารมณ์อันแสนแปลกประหลาดและเพ้อฝันเช่นเดิม เด็กๆ เหล่านั้นบินไปหาพ่อมดดำ (เหลนของพ่อมดดำคนแรก) และได้รับสมุดบันทึกของบรรพบุรุษในอดีตเล่มนั้น ในสมุด บันทึกเรื่องราวอย่างละเอียด สิ่งที่พวกเขาค้นพบเมื่อบินสูงขึ้นไป รวมถึงกำแพงดินที่ขวางกั้นไม่ให้พวกเขาบินต่อไป

"มันน่าจะมีอะไรมาทำลายกำแพงได้" เด็กชายผู้มีปีกคนหนึ่งร้องขึ้นมา

พ่อมดดำเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างเอ็นดู บอกกับเด็กชายว่า "ในถ้ำกลางภูเขา มีก๊อบลินผู้ละโมบสมบัติ พวกเขาคิดค้นหินเวทมนตร์ที่สามารถใช้ระเบิดภูเขาได้ จงเอาสมบัติไปแลกกับหินเวทมนตร์ และระเบิดกำแพงที่ขวางกั้นพวกเจ้าเสีย"

เมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นเป็นชนเผ่าอาเวียร์โดยสมบูรณ์ พวกเขาก็บินไปยังถ้ำกลางภูเขา เสนอขนบนปีกแลกหินเวทมนตร์กับชนเผ่าตัวเล็กหน้าตาเหี่ยวย่น เมื่อได้หินเรืองแสงมาแล้ว พวกเขาก็บินไปยังหมู่เกาะทางตะวันออก เพื่อไปเอาน้ำมันจากเปลืิกต้นกูลา จากนั้นจึงเตรียมตัวออกเดินทาง

ผู้มีปีกแสนประหลาดกลุ่มที่สามต่างพากันกระพือปีกบินขึ้นไป สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเมฆแต่ละก้อน จนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีดำ พวกเขาก็หยุดพัก ทานอาหาร นอนพักผ่อนบนก้อนเมฆ เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนกลับมาเป็นสีฟ้าอีกครั้ง พวกเขาจึงค่อยออกบินต่อ

พวกเขาบินผ่านหมู่เมฆสีเทาทะมึน ฝ่าพายุอันรุนแรงและอัสนีบาตอันน่าพรั่นพรึง กระพือปีกบินต่อไปจนกระทั่งเห็นท้องฟ้าสีคราม และกำแพงดินสีน้ำตาลที่แผ่ไพศาลทั้งด้านกว้างและด้านยาว บนกำแพงดินมีร่องรอยถูกทำลายไปมาก น่าจะเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาทิ้งรอยจารึกไว้

ผู้นำกลุ่มชนเผ่าอาไดน์ผู้ประหลาดฝังหินเวทมนตร์ลงในส่วนของกำแพงดินที่ดูบางที่สุด จากนั้นจึงถอยออกมา หินเวทมนตร์เรืองแสงเป็นสีแดงแช่ค้างอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะเกิดประกายแสงวาบ เสียงกึกก้องกัมปนาทแผดลั่นไม่แพ้เสียงฟ้าผ่ากลางหมู่เมฆทะมึนเบื้องล่าง สายลมกรรโชกแรง เศษดินเศษหินกระจายตัวออกเป็นวงกว้าง และพุ่งเข้าใส่ชนเผ่าอาไดน์ที่ยังกระพือปีกค้างอย่างตกตะลึง

เมื่อฝุ่นควันจากการระเบิดจางหายไป ก็เหลือผู้มีปีกยืนอยู่ที่นั่นเพียงผู้เดียว คนอื่น ถูกแสงจากหินเวทมนตร์กลืนหายไปเสียแล้ว

แม้จะโทมนัสกับการจากไปของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ แต่ผู้ประหลาดคนสุดท้ายก็ไม่ย่อท้อ เขาเหลือบมองขึ้นไปด้านบน ลอดผ่านกำแพงดินที่เป็นช่องโหว่ เขาเห็นสีประหลาดฉาบบนปากหลุมอีกฝั่งหนึ่ง จึงบินผ่านเส้นทางที่เกิดใหม่ขึ้นไป

บนนั้นเขาก็ได้เห็นอีกดินแดนหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนดินแดนที่เขาจากมา...

ดินแดนแห่งนี้มีลักษณะคล้ายทวีปเทียร์ ทว่ามีอะไรหลายอย่างผิดแปลกไป อากาศบนนี้หนาวกว่าเทียร์ และมีกลิ่นหอมดอกไม้ลอยจางอยู่ในอนูอากาศ พื้นดินของที่นี่ปกคลุมด้วยหญ้าใบขดเกลียวสีม่วง และมีท้องฟ้าเป็นสีเหลืองออกส้ม ส่วนก้อนเมฆนั้นเป็นสีชมพู ผืนป่านั้นเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนท้องทะเลกลับเป็นสีเขียวอ่อน

เขาบินเลียดผิวดินไป จนกระทั่งเจอกับความเคลื่อนไหวบางอย่าง สัตว์ประหลาดมีเกล็ดที่บินได้เหมือนชนเผ่าเอไดน์ กำลังบินตรงมาหา ท่าทางประหลาดใจอย่างมาก

"เจ้าเป็นตัวอะไร เหตุใดจึงบินได้เหมือนพวกเราจ้าวนภา" ที่แท้สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เรียกว่าจ้าวนภา เอไดน์หนุ่มจึงได้เพื่อนใหม่มาหนึ่งตน

ผู้มีปีกเป็นขนนกเล่าเรื่องราวของเขาให้ผู้มีปีกเป็นแผ่นหนังกว้างฟัง จ้าวนภารับฟังอย่างอัศจรรย์ใจ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน เอไดน์หนุ่มพาสหายใหม่ไปดูหลุมกว้างบนผืนหญ้าที่พวกเขาสร้างขึ้น ใต้นั้นมีหมู่เมฆดำทะมึน จากนั้นจึงหยิบข้าวของทุกอย่างจากกระเป๋าของพ่อมดดำออกมา สิ่งมีชีวิตมีเกล็ดจึงได้แต่เบิกตากว้าง

จ้าวนภานำคนมีปีกไปยังเผ่าของพวกเขา คนมีปีกจึงได้รู้ว่า จ้าวนภานั้นไม่ใช่ชื่อของสิ่งมีชีวิตนี้ แต่เป็นชื่อของตำแหน่งจ้าวเผ่ามังกร

เอไดน์หนุ่มได้รับการต้อนรับจากชนเผ่ามังกรเป็นอย่างดี เขาเล่าเรื่องราวของตัวเอง ของชนเผ่าเอไดน์ ของชนเผ่าอื่นๆ ข้างล่าง และของมาตุภูมิ ชนเผ่ามังกรรับฟัง และพาเอไดน์หนุ่มเที่ยวชมดินแดนของพวกเขา ดินแดนไม่มีอะไรเหมือนกับเทียร์ เมื่อถึงวันที่ผู้มีปีกต้องกลับลงไปยังอาณาจักรอาเวียร์ สหายใหม่ของเขาก็มอบของที่ระลึกให้ ดอกไม้ ใบหญ้า ผลไม้ ที่ไม่เคยมีอยู่ในทวีปเทียร์ ส่วนผู้มีปีก ก็มอบขนปีกของเขาเป็นของกำนัล พร้อมคำมั่นสัญญา ว่าจะกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง

เมื่อเอไดน์หนุ่มกลับมา เขาก็กลายเป็นวีรบุรุษ...

เอไดน์ทุกตนยกย่องสรรเสริญเขา แห่แหนเขาไปทั่วทวีปเทียร์ รวมทั้งป่าวประกาศการค้นพบครั้งใหม่ให้ชนเผ่าอื่นๆ ทั้งทวีปได้ทราบ เรื่องราวของเอไดน์หนุ่มคนนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วสารทิศ คนรุ่นหลังเรียกเขาว่า อมัค ผู้บุกเบิก

อมัค ผู้บุกเบิก หลังจากชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วแล้ว ก็ตั้งป้ายหลุมศพบนยอดเขาแก่วีรบุรุษคนอื่นซึ่งสละชีพเพื่อการค้นพบ ตอบแทนพ่อมดดำ ชนเผ่าในหมู่เกาะทางตะวันออก และก๊อบลินในถ้ากลางภูเขาด้วยของกำนัลบางส่วนจากอาณาจักรเบื้องบน จากนั้นจึงเดินทางไปรอบทวีป เพื่อเฟ้นหาสิ่งของวิเศษเป็นของขวัญแด่ชนเผ่ามังกร 

การไปเยือนเผ่ามังกรคราวนี้ อมัคได้นำเอไดน์หนุ่มอีกหลายคนขึ้นไปพร้อมกัน เมื่อขึ้นไปถึงดินแดนของชนเผ่ามังกรแล้ว พวกเขาก็บินขึ้นไป สูงขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปเรื่อยๆ....

ตลอดชีวิตของอมัค เขาค้นพบดินแดนที่อยู่เหนือท้องฟ้าขึ้นไปนับรวมได้สิบดินแดน ค้นพบชนเผ่าอีกหลายชนเผ่า ทั้งที่มีปีกและไม่มีปีก อาศัยอยู่ในดินแดนที่แตกต่างกันออกไป และเป็นแรงบันดาลในให้คนแคระในภูเขา หยิบหินเวทมนตร์มาระเบิดทะเลทรายใกล้กับหอคอยของพ่อมดดำ เปิดทางลงไปสู่อาณาจักรที่อยู่เบื้องล่างของพวกเขา

ชนเผ่าเอไดน์รุ่นถัดมาจากอมัค ไม่มีใครเห็นว่าการบินขึ้นไปเหนือท้องฟ้าเป็นเรื่องประหลาดอีกต่อไป ดินแดนที่อยู่เหนือดินแดนอื่นหรือใต้ดินแดนอื่นต่างถูกค้นพบมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุด

ส่วนอนาคต ท้องฟ้าในดินแดนข้างหน้าจะเป็นสีอะไร จะไปถึงข้างบนสุดเมื่อไหร่ คงไม่มีใครรู้ได้ จะเป็นชนเผ่าเอไดน์ หรือชนเผ่ามีปีกอื่นๆ ที่จะค้นพบจุดสิ้นสุดแห่งท้องฟ้า ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้

คงต้องกระพือปีกบินต่อไปเรื่อยๆ กระมัง
.
.
.
.

==================================================
Author's Comment


เรื่องสั้นเรื่องแรกที่แต่งสำเร็จค่ะ ปกติเป็นคนแต่งเรื่องสั้นไม่เป็นเลย ชอบเขียนเรื่องยาวๆ โครงเรื่องซับซ้อนมากกว่า แต่ที่จริงพอแต่งเรื่องนี้จบ ก็ยังรู้สึกว่า Setting ของโลกนี้น่าจะใช้เขียนเป็นนิยายเรื่องยาวได้ด้วยซ้ำ คิดว่าคงเป็นรสนิยมในการเขียนของผู้เขียนละมั้งคะ ^^"

ที่จริงแล้วเรื่องนี้ตั้งใจว่าจะนำมารีไรท์ซักรอบ และคงต้องปรับโครงสร้างการดำเนินเรื่องใหม่ให้ดูเป็นเรื่องสั้นกว่านี้ ก็ที่เขียนมาดูเหมือนบทนำของนิยายแฟนตาซียังไงก็ไม่รู้สิคะ